วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พุทธวัจน์


พุทธวัจน์


ฉบับ...ตามรอยธรรม
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส
อย่าได้เป็นผู้ประมาท
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย
นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนเธอทั้งหลาย ของตถาคต
พระธรรม พระพุทธ
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า
ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
พวกเราไม่มีพระศาสดาดังนี้
อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดดังนั้น
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
( มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘. ) พุทธวัจน์
พุทธวัจน์
( ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ์ )
ฉบับ...ตามรอยธรรม
จัดทำเพื่อเป็นธรรมทาน ไม่สงวนสิทธิ์ในการพิมพ์หรือเผยแผ่
-----------------------------------------------------------------------------
เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด
ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษร
สละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าว
ของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟัง
ด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่ง
ที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะ
เรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอ
ย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ
ย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียน
ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ? มี
ความหมายกี่นัย ?” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรม
ที่ถูกปิดไว้ได้, ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็จะทำให้ปรากฏได้, ความ
สงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มี
การลุล่วงไปได้ ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วย
การชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่; จัดเป็น
บริษัทที่เลิศแล.
( บาลี พระพุทธภาษิต ทุก. °. ๒๐/๙๒/๒๙๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย. ) พุทธวัจน์
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
( มหาสุญฺญตสุตฺต อุปริ. . ๑๔/๒๔๕/๓๕๖. ) พุทธวัจน์
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์,
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
( ปณฑิตวคฺค ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖. ) พุทธวัจน์

ทรงแสดงเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เกี่ยวกับพระองค์เอง
ภิกษุทั้งหลาย ! สมมติว่ามหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำทั่วถึง
เป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก(ไม้ไผ่ !) ซึ่งมีรูเจาะ
ได้เพียงรูเดียว ลงไปในน้ำนั้น; ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศ
ตะวันตก, ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศ
เหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ
อยู่ดังนี้. ในน้ำนั้นมีเต่าตัวหนึ่งตาบอด ล่วงไปร้อยๆปีมันจะผุด
ขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ
นี้ว่าอย่างไร : จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้นมา
สักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น ?
ข้อนี้ ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น
ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียง
รูเดียวในแอกนั้น”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ใครๆ
จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะ
เป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.
ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่าบัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว;
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว; และ
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
กระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่านี้ ทุกข์; นี้ เหตุให้เกิดทุกข์;
นี้ ความดับแห่งทุกข์; นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ดังนี้เถิด.
( บาลี มหาวาร. °. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย. ) พุทธวัจน์
พระพุทธเจ้า ทั้งในอดีต, อนาคต
และในปัจจุบัน ล้วนแต่ตรัสรู้อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย ! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริงไปแล้ว ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐ
สี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ต่อกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้
ตามเป็นจริงอยู่ ในกาลเป็นปัจจุบันนี้ ก็ได้ตรัสรู้อยู่ซึ่งความ
จริงอันประเสริฐสี่อย่าง. ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างนั้น
เหล่าไหนเล่า ?
สี่อย่างคือ : ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือความดับ
ไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้
เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔. ) พุทธวัจน์
พระพุทธองค์ ทรงพระนามว่า
อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะได้ตรัสรู้
อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ สี่อย่าง
เหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือความทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์: นี้แลความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง
ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ ตถาคตจึงมีนาม
อันบัณฑิตกล่าวว่าอรหันตสัมมาสัมพุทธะ”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
ทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทาง
ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓. ) พุทธวัจน์
จงสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยการให้รู้อริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือว่าเธอเป็น
ผู้ที่เขาควรเชื่อฟัง เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำมาตย์ก็ตาม ญาติ
หรือสายโลหิตก็ตาม; ชนเหล่านั้น อันเธอพึงชักชวนให้เข้าไป
ตั้งมั่น ในความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันรู้
เฉพาะตามที่เป็นจริง ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเล่า ?
สี่ประการคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดแห่งทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือ
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยค
กรรมอันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า ทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้
เกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้,” ดังนี้.
อริยสัจสี่โดยสังเขป
( ทรงแสดงด้วยความยึดในขันธ์ห้า )
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อย่างเหล่านี้, สี่
อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็น
อย่างไรเล่า ? คำตอบคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
ถือมั่นห้าอย่าง. ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือขันธ์อัน
เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร และวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง
อันประเสริฐคือทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการ
เกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัด เพราะอำนาจความเพลิน
มักทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ ตัณหาในกาม,
ตัณหาในความมีความเป็น, ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น. ภิกษุ
ทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้
เกิดทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่
เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือความดับสนิทเพราะ
ความจางคลายดับไป โดยไม่เหลือของตัณหานั้น ความสละ
ลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึงซึ่ง
ตัณหานั้นเอง อันใด. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้
ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือหนทาง
อันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปด นั่นเอง, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ,
การเลี้ยงชีพชอบ, ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ,
ความตั้งใจมั่นชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง
อันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แลคือความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, นี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๓๔-/๑๖๗๘-๑๖๘๓. ) พุทธวัจน์
การรู้อริยสัจสี่ ทำให้มีตาสมบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๓ จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลก.
สามจำพวกอย่างไรเล่า ? สามจำพวกคือ คนตาบอด(อนฺโธ),
คนมีตาข้างเดียว(เอกจกฺขุ), คนมีตาสองข้าง (ทฺวิจกฺขุ).
ภิกษุทั้งหลาย ! คนตาบอดเป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคน
ในโลกนี้ ไม่มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำ
โภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; และไม่มีตาที่เป็น
เหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองข้าง).
ภิกษุทั้งหลาย ! มีคนตาข้างเดียวเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; แต่ไม่มีตา
ที่เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาข้างเดียว.
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; และมีตาที่
เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุมีตาสมบูรณ์ (จกฺขุมา) เป็นอย่างไร
เล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความทุกข์, นี้เหตุให้เกิดแห่งทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์, นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล ภิกษุมีตาสมบูรณ์_

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น