วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

พุทธวัจน์


พุทธวัจน์


ฉบับ...ตามรอยธรรม
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส
อย่าได้เป็นผู้ประมาท
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ ในภายหลังเลย
นี่แล เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนเธอทั้งหลาย ของตถาคต
พระธรรม พระพุทธ
อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า
ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
พวกเราไม่มีพระศาสดาดังนี้
อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดดังนั้น
อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว
แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
( มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘. ) พุทธวัจน์
พุทธวัจน์
( ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ์ )
ฉบับ...ตามรอยธรรม
จัดทำเพื่อเป็นธรรมทาน ไม่สงวนสิทธิ์ในการพิมพ์หรือเผยแผ่
-----------------------------------------------------------------------------
เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด
ที่กวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษร
สละสลวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าว
ของสาวก, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟัง
ด้วยดี ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่ง
ที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะ
เรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอ
ย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ
ย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียน
ไต่ถาม ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่าข้อนี้เป็นอย่างไร ? มี
ความหมายกี่นัย ?” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรม
ที่ถูกปิดไว้ได้, ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็จะทำให้ปรากฏได้, ความ
สงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มี
การลุล่วงไปได้ ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วย
การชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่; จัดเป็น
บริษัทที่เลิศแล.
( บาลี พระพุทธภาษิต ทุก. °. ๒๐/๙๒/๒๙๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย. ) พุทธวัจน์
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
อานนท์ ! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์ ! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์ ! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
( มหาสุญฺญตสุตฺต อุปริ. . ๑๔/๒๔๕/๓๕๖. ) พุทธวัจน์
คนเรา ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์,
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว ไม่มีเลวเลย.
( ปณฑิตวคฺค ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖. ) พุทธวัจน์

ทรงแสดงเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เกี่ยวกับพระองค์เอง
ภิกษุทั้งหลาย ! สมมติว่ามหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำทั่วถึง
เป็นอันเดียวกันทั้งหมด; บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก(ไม้ไผ่ !) ซึ่งมีรูเจาะ
ได้เพียงรูเดียว ลงไปในน้ำนั้น; ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศ
ตะวันตก, ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศ
เหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้, ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ
อยู่ดังนี้. ในน้ำนั้นมีเต่าตัวหนึ่งตาบอด ล่วงไปร้อยๆปีมันจะผุด
ขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ. ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ
นี้ว่าอย่างไร : จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้นมา
สักครั้งหนึ่ง จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น ?
ข้อนี้ ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น
ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียง
รูเดียวในแอกนั้น”.
ภิกษุทั้งหลาย ! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ใครๆ
จะพึงได้ความเป็นมนุษย์; ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะ
เป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.
ภิกษุทั้งหลาย ! แต่ว่าบัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว;
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว; และ
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
กระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่านี้ ทุกข์; นี้ เหตุให้เกิดทุกข์;
นี้ ความดับแห่งทุกข์; นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์
ดังนี้เถิด.
( บาลี มหาวาร. °. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย. ) พุทธวัจน์
พระพุทธเจ้า ทั้งในอดีต, อนาคต
และในปัจจุบัน ล้วนแต่ตรัสรู้อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย ! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริงไปแล้ว ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐ
สี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ต่อกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น ก็จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้
ตามเป็นจริงอยู่ ในกาลเป็นปัจจุบันนี้ ก็ได้ตรัสรู้อยู่ซึ่งความ
จริงอันประเสริฐสี่อย่าง. ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างนั้น
เหล่าไหนเล่า ?
สี่อย่างคือ : ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือความดับ
ไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้
เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔. ) พุทธวัจน์
พระพุทธองค์ ทรงพระนามว่า
อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะได้ตรัสรู้
อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ สี่อย่าง
เหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือความทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์: นี้แลความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง. ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง
ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ ตถาคตจึงมีนาม
อันบัณฑิตกล่าวว่าอรหันตสัมมาสัมพุทธะ”.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
ทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทาง
ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓. ) พุทธวัจน์
จงสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยการให้รู้อริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย ! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือว่าเธอเป็น
ผู้ที่เขาควรเชื่อฟัง เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำมาตย์ก็ตาม ญาติ
หรือสายโลหิตก็ตาม; ชนเหล่านั้น อันเธอพึงชักชวนให้เข้าไป
ตั้งมั่น ในความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันรู้
เฉพาะตามที่เป็นจริง ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเล่า ?
สี่ประการคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดแห่งทุกข์, ความจริงอันประเสริฐคือ
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยค
กรรมอันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า ทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้
เกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้, ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้, ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้,” ดังนี้.
อริยสัจสี่โดยสังเขป
( ทรงแสดงด้วยความยึดในขันธ์ห้า )
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อย่างเหล่านี้, สี่
อย่างเหล่าไหนเล่า ? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์, ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์, และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็น
อย่างไรเล่า ? คำตอบคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
ถือมั่นห้าอย่าง. ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือขันธ์อัน
เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร และวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง
อันประเสริฐคือทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการ
เกิดอีก อันประกอบด้วยความกำหนัด เพราะอำนาจความเพลิน
มักทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ ได้แก่ ตัณหาในกาม,
ตัณหาในความมีความเป็น, ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น. ภิกษุ
ทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้
เกิดทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่
เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือความดับสนิทเพราะ
ความจางคลายดับไป โดยไม่เหลือของตัณหานั้น ความสละ
ลงเสีย ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึงซึ่ง
ตัณหานั้นเอง อันใด. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้
ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นอย่างไรเล่า ? คือหนทาง
อันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปด นั่นเอง, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
ความเห็นชอบ, ความดำริชอบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ,
การเลี้ยงชีพชอบ, ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ,
ความตั้งใจมั่นชอบ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง
อันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย ! เหล่านี้แลคือความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่านี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์, นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, นี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,” ดังนี้เถิด.
( - มหาวาร. °. ๑๙/๕๓๔-/๑๖๗๘-๑๖๘๓. ) พุทธวัจน์
การรู้อริยสัจสี่ ทำให้มีตาสมบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย ! บุคคล ๓ จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลก.
สามจำพวกอย่างไรเล่า ? สามจำพวกคือ คนตาบอด(อนฺโธ),
คนมีตาข้างเดียว(เอกจกฺขุ), คนมีตาสองข้าง (ทฺวิจกฺขุ).
ภิกษุทั้งหลาย ! คนตาบอดเป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคน
ในโลกนี้ ไม่มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำ
โภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; และไม่มีตาที่เป็น
เหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองข้าง).
ภิกษุทั้งหลาย ! มีคนตาข้างเดียวเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; แต่ไม่มีตา
ที่เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาข้างเดียว.
ภิกษุทั้งหลาย ! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้ มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น นี้อย่างหนึ่ง; และมีตาที่
เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล - ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ - ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนมีตาสองข้าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุมีตาสมบูรณ์ (จกฺขุมา) เป็นอย่างไร
เล่า ? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความทุกข์, นี้เหตุให้เกิดแห่งทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์, นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล ภิกษุมีตาสมบูรณ์_

พุทธภาษิต


สพฺพํ เภทปริยนฺติ     เอวํ มจฺจาน ชีวิตํ 
ชีวิตของสัตว์เหมือนภาชนะดิน ซึ่งล้วนมีความสลายเป็นที่สุด
น มิยฺยมานํ ธนมนฺเวติ กิญฺจิ           ทรัพย์สักนิดก็ติดตามคนตายไปไม่ได้
อฑฺฒา เจว ทฬิทฺทา จ     สพฺเพ มจฺจุ ปรายนา 
ทั้งคนมีคนจน ล้วนมีแต่ความตายเป็นเบื้องหน้า
ทหรา จ มหนฺตา จ     เย พาลา เย จ ปณฺฑิตา 
สพฺเพ มจฺจุวสํ ยนฺติ     สพฺเพ มจฺจุปรายนา 
ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเขลา ทั้งฉลาด 
ล้วนไปสู่อำนาจแห่งความตาย ล้วนมีความตายเป็นเบื้องหน้า
ยถา ทณฺเฑน โคปาลา      คาโว ปาเชติ โคจรํ 
เอวํ ชรา จ มจฺจุ จ     อายุํ ปาเชนฺติ ปาณินํ 
ผู้เลี้ยงโคย่อมต้อนฝูงโค ไปสู่ที่หากินด้วยพลองฉันใด 
ความแก่และความตาย ย่อมต้อนอายุของสัตว์มีชีวิตไปฉันนั้น
ยถา วาริวโห ปูโร     วเห รุกฺเข ปกูลเช 
เอวํ ชราย มรเณน     วุยฺ หนฺเต สพฺพปาณิโน 
ห้วงน้ำที่เต็มฝั่ง พึงพัดต้นไม้ซึ่งเกิดที่ตลิ่งไปฉันใด 
สัตว์มีชีวิตทั้งปวง ย่อมถูกความแก่และความตายพัดไปฉันนั้น
อจฺเจนติ กาลา ตรยนฺติ รตฺติโย     วโยคุณา อนุปุพฺพํ ชหนฺติ 
เอตํ ภยํ มรเณ เปกฺขมาโน     ปุญฺญานิ กยิราถ สุขาวหานิ 
กาลย่อมล่วงไป ราตรีย่อมผ่านไป ชั้นแห่งวัยย่อมละลำดับไป 
ผู้เล็งเห็นภัยในมรณะนั้น พึงทำบุญอันนำความสุขมาให้ 
 
มิตตวรรค - หมวดมิตร
มาตา มิตฺตํ สเก ฆเร           มารดาเป็นมิตรในเรือนของตน
สหาโย อตฺถชาตสฺส     โหติ มิตฺตํ ปุนปฺปุนํ 
สหายเป็นมิตรของผู้มีความต้องการเกิดขึ้นเนือง ๆ
สพพตฺถ ปูชิโต โหติ     โย มิตฺตานํ น ทุพฺภติ 
ผู้ไม่ประทุษร้ายมิตร ย่อมมีผู้บูชาในที่ทั้งปวง
มิตฺตทุพโภ หิ ปาปโก           ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวแท้
ภริยา ปรมา สขา           ภรรยาเป็นเพื่อนสนิท
นตฺถ พาเล สหายตา           ความเป็นสหายไม่มีในคนพาล
สเจ ลเภถ นิปกํ สหายํ     จเรยฺย เตนตฺตมโน สติมา 
ถ้าได้สหายผู้รอบคอบ พึงพอใจมีสติเที่ยวไปกับเขา 
 
วาจาวรรค - หมวดวาจา
โมกฺโข กลฺยาณิยา สาธุ           เปล่งวาจางามยังประโยชน์ให้สำเร็จ
หทยสฺส สทิสี วาจา           วาจาเช่นเดียวกับใจ
มุตฺวา ตปฺปติ ปาปิกํ           คนเปล่งวาจาชั่วย่อมเดือดร้อน
ทุฏฺฐสฺส ผรุสา วาจา           คนโกรธมีวาจาหยาบ
สํโวหาเรน โสเจยฺยํ เวทิตพฺพํ           ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ
ตเมว วาจํ ภาเสยฺย     ยายตฺตานํ น ตาปเย           ควรกล่าวแต่วาจาที่ไม่ยังตนให้เดือดร้อน
นาติเวลํ ปภาเสยฺย     นตุณหี สพฺพทา สิยา           อวิกิณฺ มิตํ วาจํ     ปตฺเตกาเล อุทีริเย 
ไม่ควรูดจนเกินกาล ไม่ควรนิ่งเสมอไป เมื่อถึงเวลาก็ควรพูดพอประมาณ ไม่ฟั่นเฝือ
โย นินฺทิยํ ปสํสติ     ตํ วา นินฺทติ โย ปสํสิโย 
วิจินาติ มุเขน โส กลี     กลินา เตน สุขํ น วินทติ 
ผู้ใดสรรเสริญคนควรติ หรือติคนที่ควรสรรเสริญ 
ผู้นั้นย่อมเก็บโทษด้วยปาก เขาไม่ได้สุขเพราะโทษนั้น
สจฺ จํ เว อมตา วาจา           คำสัตย์แลเป็นวาจาไม่ตาย

วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554