พุทธวัจน์
ฉบับ...ตามรอยธรรม
ภิกษุทั้งหลาย
! เธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส
อย่าได้เป็นผู้ประมาท
อย่าเป็นผู้ที่ต้องร้อนใจ
ในภายหลังเลย
นี่แล
เป็นวาจาเครื่องพร่ำสอนเธอทั้งหลาย ของตถาคต
พระธรรม พระพุทธ
อานนท์
! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า
ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว
พวกเราไม่มีพระศาสดาดังนี้
อานนท์
! พวกเธออย่าคิดดังนั้น
อานนท์
! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี
ที่เราแสดงแล้ว
บัญญัติแล้ว
แก่พวกเธอทั้งหลาย
ธรรมวินัยนั้น
จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย
โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
(
มหาปรินิพพานสูตร มหา. ที. ๑๐/๑๕๙/๑๒๘. ) พุทธวัจน์
พุทธวัจน์
(
ธรรมวินัยจากพุทธโอษฐ์ )
ฉบับ...ตามรอยธรรม
“จัดทำเพื่อเป็นธรรมทาน ไม่สงวนสิทธิ์ในการพิมพ์หรือเผยแผ่”
-----------------------------------------------------------------------------
เนื้อแท้ที่ไม่อันตรธาน
ภิกษุทั้งหลาย
! พวกภิกษุบริษัทในกรณีนี้, สุตตันตะเหล่าใด
ที่กวีแต่งขึ้นใหม่
เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษร
สละสลวย
มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าว
ของสาวก,
เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอจักไม่ฟัง
ด้วยดี
ไม่เงี่ยหูฟัง ไม่ตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญว่าเป็นสิ่ง
ที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน.
ภิกษุทั้งหลาย
! ส่วนสุตตันตะเหล่าใดที่เป็นคำของตถาคต
เป็นข้อความลึก
มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะ
เรื่องสุญญตา,
เมื่อมีผู้นำสุตตันตะเหล่านั้นมากล่าวอยู่; เธอ
ย่อมฟังด้วยดี
ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง และ
ย่อมสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียน
จึงพากันเล่าเรียน
ไต่ถาม
ทวนถามแก่กันและกันอยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร ? มี
ความหมายกี่นัย
?” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้ เธอย่อมเปิดธรรม
ที่ถูกปิดไว้ได้,
ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็จะทำให้ปรากฏได้, ความ
สงสัยในธรรมหลายประการที่น่าสงสัย
เธอก็บรรเทาลงได้.
ภิกษุทั้งหลาย
! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มี
การลุล่วงไปได้
ด้วยการสอบถามแก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วย
การชี้แจงโดยกระจ่างของบุคคลภายนอกเหล่าอื่นไม่;
จัดเป็น
บริษัทที่เลิศแล.
(
บาลี พระพุทธภาษิต ทุก. อ°. ๒๐/๙๒/๒๙๒, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย. ) พุทธวัจน์
ผู้ชี้ขุมทรัพย์ !
อานนท์
! เราไม่พยายามทำกะพวกเธอ อย่างทะนุถนอม
เหมือนพวกช่างหม้อ
ทำแก่หม้อ ที่ยังเปียก ยังดิบอยู่
อานนท์
! เราจักขนาบแล้ว ขนาบอีก ไม่มีหยุด
อานนท์
! เราจักชี้โทษแล้ว ชี้โทษอีก ไม่มีหยุด
ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสาร
ผู้นั้นจักทนอยู่ได้.
(
มหาสุญฺญตสุตฺต อุปริ. ม. ๑๔/๒๔๕/๓๕๖. ) พุทธวัจน์
คนเรา
ควรมองผู้มีปัญญาใดๆ ที่คอยชี้โทษ คอยกล่าว
คำขนาบอยู่เสมอไป
ว่าคนนั้นแหละ คือผู้ชี้ขุมทรัพย์,
ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น
เมื่อคบหากับบัณฑิตชนิดนั้นอยู่
ย่อมมีแต่ดีท่าเดียว
ไม่มีเลวเลย.
(
ปณฑิตวคฺค ธ. ขุ. ๒๕/๒๕/๑๖. ) พุทธวัจน์
ทรงแสดงเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
เกี่ยวกับพระองค์เอง
ภิกษุทั้งหลาย
! สมมติว่ามหาปฐพีอันใหญ่หลวงนี้ มีน้ำทั่วถึง
เป็นอันเดียวกันทั้งหมด;
บุรุษคนหนึ่งทิ้งแอก(ไม้ไผ่ !) ซึ่งมีรูเจาะ
ได้เพียงรูเดียว
ลงไปในน้ำนั้น; ลมตะวันออกพัดให้ลอยไปทางทิศ
ตะวันตก,
ลมตะวันตกพัดให้ลอยไปทางทิศตะวันออก, ลมทิศ
เหนือพัดให้ลอยไปทางทิศใต้,
ลมทิศใต้พัดให้ลอยไปทางทิศเหนือ
อยู่ดังนี้.
ในน้ำนั้นมีเต่าตัวหนึ่งตาบอด ล่วงไปร้อยๆปีมันจะผุด
ขึ้นมาครั้งหนึ่งๆ.
ภิกษุทั้งหลาย ! เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อ
นี้ว่าอย่างไร
: จะเป็นไปได้ไหมที่เต่าตาบอด ร้อยปีจึงจะผุดขึ้นมา
สักครั้งหนึ่ง
จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียงรูเดียวในแอกนั้น
?
“ข้อนี้
ยากที่จะเป็นไปได้ พระเจ้าข้า ! ที่เต่าตาบอดนั้น
ร้อยปีผุดขึ้นเพียงครั้งเดียว
จะพึงยื่นคอเข้าไปในรู ซึ่งมีอยู่เพียง
รูเดียวในแอกนั้น”.
ภิกษุทั้งหลาย
! ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่ใครๆ
จะพึงได้ความเป็นมนุษย์;
ยากที่จะเป็นไปได้ฉันเดียวกัน ที่
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
จะเกิดขึ้นในโลก; ยากที่จะ
เป็นไปได้ฉันเดียวกัน
ที่ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
จะรุ่งเรืองไปทั่วโลก.
ภิกษุทั้งหลาย
! แต่ว่าบัดนี้ ความเป็นมนุษย์ ก็ได้แล้ว;
ตถาคตผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธะ
ก็บังเกิดขึ้นในโลกแล้ว; และ
ธรรมวินัยอันตถาคตประกาศแล้ว
ก็รุ่งเรืองไปทั่วโลกแล้ว.
ภิกษุทั้งหลาย
! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
กระทำโยคกรรมเพื่อให้รู้ว่า
“นี้ ทุกข์; นี้ เหตุให้เกิดทุกข์;
นี้
ความดับแห่งทุกข์; นี้ หนทางให้ถึงความดับแห่งทุกข์”
ดังนี้เถิด.
(
บาลี มหาวาร. ส°. ๑๙/๕๖๘/๑๗๔๔, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
) พุทธวัจน์
พระพุทธเจ้า ทั้งในอดีต,
อนาคต
และในปัจจุบัน ล้วนแต่ตรัสรู้อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย
! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริงไปแล้ว
ในกาลยืดยาวนานฝ่ายอดีต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น
ได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอันประเสริฐ
สี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย
! พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดๆ
จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง
ต่อกาลยืดยาวนานฝ่ายอนาคต, ท่าน
ทั้งหลายเหล่านั้น
ก็จักได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง ซึ่งความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย
! แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธะ ผู้ตรัสรู้
ตามเป็นจริงอยู่
ในกาลเป็นปัจจุบันนี้ ก็ได้ตรัสรู้อยู่ซึ่งความ
จริงอันประเสริฐสี่อย่าง.
ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างนั้น
เหล่าไหนเล่า
?
สี่อย่างคือ
: ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือความดับ
ไม่เหลือของทุกข์,
และความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึง
ความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุให้
เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;”
ดังนี้เถิด.
(
- มหาวาร. ส°. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๔. ) พุทธวัจน์
พระพุทธองค์ ทรงพระนามว่า
อรหันตสัมมาสัมพุทธะ ก็เพราะได้ตรัสรู้
อริยสัจสี่
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้ สี่อย่าง
เหล่าไหนเล่า
? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือความทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์,
และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์:
นี้แลความจริงอัน
ประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย ! เพราะได้ตรัสรู้ตามเป็นจริง
ซึ่งความจริงอันประเสริฐสี่อย่างเหล่านี้
ตถาคตจึงมีนาม
อันบัณฑิตกล่าวว่า
“อรหันตสัมมาสัมพุทธะ”.
ภิกษุทั้งหลาย
! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึง
ทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, และนี้เป็นทาง
ดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์;”
ดังนี้เถิด.
(
- มหาวาร. ส°. ๑๙/๕๔๓/๑๗๐๓. ) พุทธวัจน์
จงสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยการให้รู้อริยสัจ
ภิกษุทั้งหลาย
! พวกเธอเอ็นดูใคร และใครถือว่าเธอเป็น
ผู้ที่เขาควรเชื่อฟัง
เขาจะเป็นมิตรก็ตาม อำมาตย์ก็ตาม ญาติ
หรือสายโลหิตก็ตาม;
ชนเหล่านั้น อันเธอพึงชักชวนให้เข้าไป
ตั้งมั่น
ในความจริงอันประเสริฐสี่ประการ ด้วยปัญญาอันรู้
เฉพาะตามที่เป็นจริง
ความจริงอันประเสริฐสี่ประการอะไรเล่า
?
สี่ประการคือ
ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์, ความจริงอัน
ประเสริฐคือเหตุให้เกิดแห่งทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือ
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์,
และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! เพราะเหตุนั้นในเรื่องนี้ เธอพึงประกอบโยค
กรรมอันเป็นเครื่องกระทำให้รู้ว่า
“ทุกข์เป็นอย่างนี้, เหตุให้
เกิดขึ้นแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้,
ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้,
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
เป็นอย่างนี้,”
ดังนี้.
อริยสัจสี่โดยสังเขป
( ทรงแสดงด้วยความยึดในขันธ์ห้า )
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐมีสี่อย่างเหล่านี้, สี่
อย่างเหล่าไหนเล่า
? สี่อย่างคือ ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์,
ความจริงอันประเสริฐ
คือความดับไม่เหลือของทุกข์,
และความจริงอันประเสริฐคือ
ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐคือทุกข์ เป็น
อย่างไรเล่า
? คำตอบคือ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น
ถือมั่นห้าอย่าง.
ห้าอย่างนั้นอะไรเล่า ? ห้าอย่างคือขันธ์อัน
เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น
ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา
สังขาร
และวิญญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริง
อันประเสริฐคือทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้เกิดทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า
? คือตัณหาอันใดนี้ ที่เป็นเครื่องนำให้มีการ
เกิดอีก
อันประกอบด้วยความกำหนัด เพราะอำนาจความเพลิน
มักทำให้เพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ
ได้แก่ ตัณหาในกาม,
ตัณหาในความมีความเป็น,
ตัณหาในความไม่มีไม่เป็น. ภิกษุ
ทั้งหลาย
! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริงอันประเสริฐคือเหตุให้
เกิดทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่
เหลือของทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ? คือความดับสนิทเพราะ
ความจางคลายดับไป
โดยไม่เหลือของตัณหานั้น ความสละ
ลงเสีย
ความสลัดทิ้งไป ความปล่อยวาง ความไม่อาลัยถึงซึ่ง
ตัณหานั้นเอง
อันใด. ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า
ความจริงอันประเสริฐคือความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! ความจริงอันประเสริฐคือทางดำเนินให้
ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์
เป็นอย่างไรเล่า ? คือหนทาง
อันประเสริฐประกอบด้วยองค์แปด
นั่นเอง, ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ
ความเห็นชอบ,
ความดำริชอบ, การพูดจาชอบ, การงานชอบ,
การเลี้ยงชีพชอบ,
ความเพียรชอบ, ความระลึกชอบ,
ความตั้งใจมั่นชอบ.
ภิกษุทั้งหลาย ! อันนี้เรากล่าวว่า ความจริง
อันประเสริฐคือทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุทั้งหลาย
! เหล่านี้แลคือความจริงอันประเสริฐสี่อย่าง.
ภิกษุทั้งหลาย
! เพราะเหตุนั้นในกรณีนี้ พวกเธอพึงทำ
ความเพียรเพื่อให้รู้ตามเป็นจริงว่า
“นี้เป็นทุกข์, นี้เป็นเหตุ
ให้เกิดทุกข์,
นี้เป็นความดับไม่เหลือของทุกข์, นี้เป็นทางดำเนิน
ให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์,”
ดังนี้เถิด.
(
- มหาวาร. ส°. ๑๙/๕๓๔-๕/๑๖๗๘-๑๖๘๓. ) พุทธวัจน์
การรู้อริยสัจสี่ ทำให้มีตาสมบูรณ์
ภิกษุทั้งหลาย
! บุคคล ๓ จำพวกนี้มีอยู่ หาได้อยู่ในโลก.
สามจำพวกอย่างไรเล่า
? สามจำพวกคือ คนตาบอด(อนฺโธ),
คนมีตาข้างเดียว(เอกจกฺขุ), คนมีตาสองข้าง (ทฺวิจกฺขุ).
ภิกษุทั้งหลาย
! คนตาบอดเป็นอย่างไรเล่า ? คือคนบางคน
ในโลกนี้
ไม่มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำ
โภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง; และไม่มีตาที่เป็น
เหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มีโทษ
-
ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่ายขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง.
ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล คนตาบอด (ทั้งสองข้าง).
ภิกษุทั้งหลาย
! มีคนตาข้างเดียวเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้
มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง; แต่ไม่มีตา
ที่เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล
คนมีตาข้างเดียว.
ภิกษุทั้งหลาย
! คนมีตาสองข้างเป็นอย่างไรเล่า ? คือ
คนบางคนในโลกนี้
มีตาที่เป็นเหตุให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้
หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้ทวีมากขึ้น
นี้อย่างหนึ่ง; และมีตาที่
เป็นเหตุให้รู้ธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
- ธรรมมีโทษและไม่มี
โทษ
- ธรรมเลวและธรรมประณีต - ธรรมฝ่ายดำและธรรมฝ่าย
ขาว
นี้อีกอย่างหนึ่ง. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล
คนมีตาสองข้าง.
ภิกษุทั้งหลาย
! ภิกษุมีตาสมบูรณ์ (จกฺขุมา) เป็นอย่างไร
เล่า
? คือภิกษุในกรณีนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
“นี้ความทุกข์, นี้เหตุให้เกิดแห่งทุกข์, นี้ความดับไม่เหลือ
แห่งทุกข์,
นี้ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์”
ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย ! นี้แล
ภิกษุมีตาสมบูรณ์_